วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หวานดีมีโทษ

น้ำตาลผลึกลึกลับ หวานดีแต่มีโทษ !!!

ช่วงนี้มีการออกมาพูดถึงโทษของการบริโภคน้ำตาลกันค่อนข้างมาก หากให้เดาถึงสาเหตุคงเป็นเพราะรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนไป แต่จะว่าไปน้ำตาลก็เป็นส่วนหนึ่งของใครต่อหลายคน หลับตานึกภาพดู เช้าตื่นขึ้นมาดื่มกาแฟหรือโกโก้สักแก้วคุณใส่น้ำตาลลงไปกี่ช้อน ทำกับข้าวอาหารทุกจานล้วนแล้วแต่มีน้ำตาลเป็นเครื่องปรุงทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุให้ชีวิตไม่สามารถหลีกหนีความหวานไปได้

ต้องยอมรับว่าเรากินกันจนเกิดความเคยชินไปเสียแล้ว มีเรื่องที่เหลือเชื่อว่าน้ำตาลมีผลต่ออารมณ์ก้าวร้าว คุณเชื่อหรือไม่ ขอแนะนำให้ลองสำรวจอารมณ์ของตนเองบ้าง ว่ามีภาวะอารมณ์ก้าวร้าวบ้างหรือไม่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า น้ำตาลที่มีรสหวานอร่อยลิ้นนั้น จะมีผลร้ายต่อระบบประสาทและภาวะอารมณ์ของคนเรา ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ซึมเศร้า ก้าวร้าว ต่อต้านสังคม หรือ อาจจะรุนแรงถึงขั้นก่ออาชญากรรมไปเลยก็ได้ เคยได้ยินคนรุ่นก่อนบอกบ้างหรือไม่ว่าอย่าเลี้ยงหมาด้วยนมข้นหวานเพราะจะทำให้มันดุร้ายมาก

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ได้อธิบายถึงการทำงานของน้ำตาลที่ไปมีผลต่ออารมณ์เอาไว้ว่า เมื่อน้ำตาลจำนวนมากเข้าไปในร่างกาย มันจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น แล้วตับอ่อนก็จะหลั่งอินซูลินออกมา เพื่อขับน้ำตาลในเลือดส่วนเกินออกไป จนกระทั่งระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง ก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Hypoglycemiaในภาวะดังกล่าว Cerebrum ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ การคิดค้น พฤติกรรม จิตสำนึก และสติสัมปชัญญะ ก็จะปิดตัวลง พลังงานของสมองก็จะส่งผ่านไปยังก้านสมองซึ่งควบคุมสัญชาติญาณและกิริยาอาการดั้งเดิมของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าว รุนแรง ไร้เหตุผล ทำให้คนที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสามารถทำอะไรโดยไม่ทันยั้งคิดได้ง่ายขึ้น

"ของหวาน" สาเหตุของความเสื่อมทั้งหลาย

คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น หมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ฯลฯ จะทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เบาหวาน กระดูกพรุน อ้วน เนื้องอก และมะเร็ง น้ำตาลจะทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วยไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น ถ้าดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ ภูมิแพ้จะรุนแรงเป็น 2 เท่าถ้าเรากินหวานด้วย เพราะ "เชื้อโรคทุกตัวใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

บางคนเข้าใจว่าน้ำตาลทรายแดงไม่เป็นอันตราย ความจริงน้ำตาลทรายแดงดีกว่าน้ำตาลทรายขาวที่มีวิตามิน B และไม่มีอันตรายจากสารฟอกขาว แต่อันตรายจากความหวานนั้นมีเท่ากัน ทุกอย่างที่หวานเป็นอันตรายต่อทุกคนที่กิน คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีโอกาสเป็นอันตรายจากหวานลดลง แต่ปริมาณน้ำตาลที่พอดี ร่างกายไม่เกิดอันตรายคือวันละ 10 ช้อนสูงสุด ในแต่ละวันนี้เราทุกคนได้เกิน เพราะเราได้จากหลายอย่าง เช่น ในโอวัลติน 1 แก้ว มีน้ำตาล 2 ช้อน น้ำอัดลม 1 ขวดเล็กมีน้ำตาล 6 ช้อน น้ำส้มคั้นไม่ใส่น้ำตาลมี น้ำตาล 4 ช้อน โอเลี้ยงหรือกาแฟมีน้ำตาล 2 ช้อน เป็นต้น จากเฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวันเราก็ได้รับน้ำตาลเกินแล้ว

รู้อย่างนี้แล้วก็ใช่ว่าจะเลิกกินเลิกใช้ไปเสียทีเดียว เอาเป็นว่ากินน้อยๆ หน่อยก็แล้วกัน เพราะทุกอย่างในโลกล้วนมีสองด้าน เมื่อมีโทษแล้วก็ย่อมมีคุณ ด้านคุณค่าเป็นที่รู้กันอยู่ว่าน้ำตาลเป็นอาหารสำคัญที่ให้พลังงาน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของผลึกสีขาว หรือสีน้ำตาลแดงก็ตาม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าซูโครส

ทางวิทยาศาสตร์มีน้ำตาลมากมาย เช่น กลูโคสและฟรักโทส มีในพืชและสัตว์และผลไม้ แล็กโทสมีในน้ำนมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พืชสีเขียวสร้างน้ำตาลได้ด้วยแสงแดด อากาศ และน้ำ ด้วยวิธีที่เรียกว่า การสังเคราะห์ด้วยแสง กลูโคสเป็นน้ำตาลที่สำคัญที่สุด มีอยู่ในเลือดของสัตว์ และในน้ำเลี้ยงของพืช

น้ำตาลทุกชนิดมีสารประกอบเคมีจำพวกคาร์โบไฮเดรต ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ถ้าเอากรดซัลฟิวริก หรือกรดกำมะถันชนิดเข้มข้น ใส่ลงในน้ำตาลทรายสีขาว กรดจะดูดน้ำออกไปจากน้ำตาลทรายเหลือแต่ถ่านสีดำ สารสังเคราะห์บางชนิดไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตแต่มีรสหวานจัด เช่น แซ็กคาริน และแอสพาร์แทม มีรสหวานราว 300 และ 200 เท่า ของน้ำตาลทรายตามลำดับ ใช้แทนน้ำตาลได้เฉพาะในเรื่องของความหวาน เรียกสารพวกนี้ว่า น้ำตาลเทียม ทุกวันนี้แอสพาร์แทม เป็นที่นิยมมากกว่า แซ็กคาริน เพราะยังไม่พบว่ามีอันตรายต่อคน มีของดื่มหลายอย่างที่ใส่แอสพาร์แทม เช่น น้ำอัดลมบางชนิด น้ำผลไม้ผง ลูกกวาด

แต่ที่แน่ๆ ถ้ากินน้ำตาลมากๆ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเอวจะหายไปไม่รู้ตัว รายงานล่าสุดพบว่าคนไทยติดกินหวานจัดเฉลี่ยแล้วคิดเป็นคนละ 30 กก.ต่อปี มากขึ้นกว่าเท่าครึ่งของปีที่ผ่านมา ที่สำคัญส่วนใหญ่ไม่ได้บริโภคในรูปของน้ำตาล แต่ได้รับแฝงในรูปอาหาร เครื่องดื่ม เช่น นอกจากนั้นพบว่า คนไทยนิยมบริโภคอาหารที่ใส่น้ำตาลมากขึ้นทั้งอาหารคาว อาหารหวาน ส่งผลให้คนไทยอ้วน เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดและหัวใจตีบตัน เป็นต้น

สำหรับคนอ้วนทั้งที่เริ่มอ้วนหรืออ้วนแล้วนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการควบคุมน้ำหนักไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำตาล เพราะต่อให้ระมัดระวังควบคุมไขมันมากขนาดไหน แต่ถ้ายังเติมน้ำตาลไม่ยั้งมือก็จะส่งต่อสุขภาพได้เช่นกัน หลายคนประมาทพวกอาหารไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน อาหารพวกนี้ก็สามารถทำให้คุณอ้วนได้ถ้ามีน้ำตาลฟรุกโตส อยู่ในปริมาณมาก เพราะร่างกายเราดูดซึม อาหารพวกนี้ได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตามกลไกร่างกายแล้ว ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ถ้าเราไม่ได้ใช้พลังงานมากพอ น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ในร่างกาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมัยนี้เรามักจะพบลูกเด็กเล็กแดงตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำน่ารักน่าชัง แต่นั้นคือสัญญาณเตือนภัยที่สารพัดโรคจะเข้ามารุมเร้าโดยที่เราไม่รู้ตัว

 

แพทย์เผยปัจจุบันมีคนไทยเป็นโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนมากขึ้น

ศ.น.พ.สุรัตน์ โกมินทร์ แพทย์วิชาอายุรศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เผยว่า คนไข้ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วนเข้ารับการรักษาที่ รพ.รามาธิบดีเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่อาการปวดเข่า นอกจากนั้นผู้หญิงอ้วนยังมีโอกาสเป็นเบาหวาน ถึง 8 เท่าของคนที่ไม่อ้วน ผู้ชายอ้วนมีโอกาสเป็นเบาหวาน 5 เท่าของคนที่ไม่อ้วน นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคไขมันในเลือดสูง รวมทั้งคนที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปหากอ้วนมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีเกิน 100 เปอร์เซ็นต์

ยังพบว่าข้อสรุปเสื่อมอาการปวดหัวเข่าเป็นอาการที่ทำให้คนอ้วนมาหาแพทย์บ่อยที่สุด เกินร้อยละ 60 เพราะมีปัญหามากกว่าครึ่งหนึ่ง บางคนมีอาการปวดข้อเท้า ทั้งยังมีอาการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเก๊าท์ นอกจากนี้ระบบโฮโมนในร่างกายยังผิดปกติด้วย

จริงอยู่ที่อาหารรสหวาน ทำให้ชีวิตมีรสชาติ ทำให้รู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวย แต่การทานน้ำตาลมากเกินไปน่าจะเป็นโทษมากกว่าเป็น ประโยชน์ เพราะน้ำตาลที่ผ่านการฟอกขาว ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง่าย พอระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อวัยวะที่จะต้องหัวหมุนก็คือตับอ่อน ที่จะต้องทำงานหนัก ทางออกที่ดีที่สุดคือลดความหวานลงหน่อย

ถ้าเลิกไม่ได้ก็เปลี่ยนมากินน้ำตาลแบบที่ยังไม่สกัดแทน เพราะผักหรือผลไม้ที่มีรสหวาน จะมีไฟเบอร์ น้ำ และแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ และมีกากอาหารที่ร่างกาย ไม่สามารถดูดซึมได้ทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ ลองเลิกทานน้ำตาลสัก 2-3 วันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับบางคนที่มักจะทานน้ำตาลในปริมาณมาก อาจจะรู้สึก หงุดหงิดสักหน่อย แต่ยิ่งเลิกยากเท่าไหร่ เวลาเลิกได้จะยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น

 


pear

Pear สาลี่ ป็นผลไม้ที่ชอบอากาศหนาวเย็น ปลูกมากในประเทศจีนสาลี่แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือสาลี่ฝรั่งซึ่งมีเนื้อนุ่ม และสาลี่จีนซึ่งมีเนื้อกรอบ ผลสาลี่มีเนื้อฉ่ำ รสหวาน เปลือกมีสีเหลือง

สาลี่  ภาษาจีนเรียกว่า ค้วยก้วย บิกแป๋ เง็กยูหรือ ก้วยจา  ตำราอาหารจีนยกให้สาลี่เป็น สุดยอดแห่งผลไม้  เนื่องจากมีรสชาติหวานเย็นและมีคุณค่าทางอาหารสูง  สาลี่มีหลายพันธุ์  แต่ที่นิยมก็คือสาลี่หอม  และสาลี่น้ำหอม  (สาลี่หิมะ)  ปัจจุบัน

สรรพคุณ
 สาลี่มีฤทธิ์เย็น  รสหวานหอม  จึงใช้รักษาผู้ที่มีอาการร้อนในก้ไอ ละลายเสมหะ นำสาลี่มาสับละเอียดต้มกับน้ำตาลทราย กินบรรเทาอาการหวัด อาการไอ แต่หากมีอาการท้องเดินไม่ควรกินสาลี่
 สาลี่มีน้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ  จึงช่วยให้สดชื่น  ชุ่มคอ  แก้กระหาย  นอกจากนี้น้ำตาลในสาลี่ยังเป็นน้ำตาลที่ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานได้ง่าย
 สาลี่มีธาตุอาหาร  เช่นคาร์โบไฮเดรต  เบตาแคโรทีน  วิตามินซี  วิตามินเค  แคลเซียม  ฟอสฟอรัส  เหล็กไนอะซิน วิตามินบี1 วิตามินบี2  และเส้นใยที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน  กระตุ้นภูมิคุ้มกันแก้อาการท้องผูก  ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่  และต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งและความชรา
 ช่วยให้กระเพาะทำงานได้ดี  ช่วยย่อย  ขับปัสสาวะ  กระตุ้นการทำงานของไต  และลดความดันโลหิต
 สาลี่ดองกินแก้พิษสุรา  หากกินหลังอาหารจะช่วยย่อย  หรือลดอาการท้องอืดได้สาลี่เป็นผลไม้ที่หาได้ง่าย

วิธีใช้
 คั้นน้ำสาลี่สดดื่มทุกวันจะช่วยป้องกันหวัด  ลดเสมหะ  ลดอาการไอ
 สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน  ให้นำสาลี่หอมหรือสาลี่หิมะ  5 ผล  ปอกเปลือกและปั่นจนละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง  250  กรัม  นำไปเคี่ยวจนข้นเป็นเนื้อเดียวกัน  กินและดื่มน้ำตามทุกวัน  จะช่วยให้อาการดีขึ้น
 ตุ๋นรังนกใส่สาลี่และน้ำตาลกรวดพอประมาณ  กินบรรเทาอาการไอเรื้อรัง  ลดอาการหืดหอบ  และอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับปอด
ข้อควรระวัง
 เปลือกของสาลี่มีสารอาหารที่มีคุณค่มากมาย  แต่เนื่องจากมีการใช้ยาฆ่าแมลงสูงจึงควรล้างให้สะอาดก่อนเสมอ


Beetroot

 

บีท หรือ บีทรูท พืชกินรากเป็นพืชชนิดเดียวกับหัวผักกาดที่อยู่ใต้ดิน ลักษณะกลมป้อม เปลือกสีออกดำเนื้อสีแดงเลือดหมู หรือม่วงแดง เมื่อปอกเปลือกแล้วสีจะติดมือ กำลังเป็นที่นิยมเอาไปทำน้ำเพื่อสุขภาพ โดยผสมกับน้ำผลไม้ต่าง ๆ เพราะตัวบีทรูทเองสีสวย ล่อตาล่อใจไม่น้อย แต่รสชาติไม่เท่าไร่ นอกจากเอาไปทำน้ำเพื่อสุขภาพต่าง ๆ แล้ว ใช้ทานในสลัด ในจานสเต็ก ดอง ชุปแป้งทอด หรือใช้สีแดงของบีทรูทแทนสีผสมอาหาร  (ใบบีทรูทก็ทานได้ เลือกเฉพาะใบอ่อน ทานสด ๆ เป็นผักสลัด อร่อยและมีวิตามินเอสูง บีทรูทถือว่าเป็นผักที่มีประโยชน์มาก อาทิ มีโฟเลทสูง ช่วยป้องกันความดันโลหิตสูง (มีงานวิจัยกันเป็นเรื่องเป็นราวโดยให้ดื่มน้ำบีทรูทแล้วช่วยลดความดันโลหิต) และโฟเลทยังจำเป็นต่อพัฒนาของไขสันหลังของทารกในครรภ์ช่วง 3 เดือนแรก นอกจากนี้ยังมี Betaine ที่มีผลช่วยลด และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ มีสารอาหารหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โปแตสเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินเอ และวิตามินบีรวม คนนิยมนำบีทรูทมา อาหารค่ะ
          สารสีแดงในหัวบีทรูท คือ เบทานิน (betanin) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็งได้ น้ำบีทรูทจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะรักษามะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้เลือดลมดี บำรุงเลือด บำรุงไต ถุงน้ำดี ล้างพิษ และช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดีขึ้น และยังมีการวิจัยพบว่า บีทรูทนำไปใช้เป็นโภชนาบำบัดซึ่งช่วยในการรักษาผู้ที่เป็นสิวชนิดมีหนอง หรือสิวอักเสบ น้ำเหลืองเสียได้ดีอีกด้วย โดยมีวิธี ทำแบบง่าย ๆ คือ เอาหัวสดของบีทรูท จำนวน 1 หัว ต้มกับน้ำพอประมาณจนเดือด โดยไม่ต้องเติมอะไรลงไปเลยค่ะ ดื่มขณะอุ่นๆ หรือจะรับประทานเนื้อด้วยก็ได้ จะช่วยบำบัดอาการสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสียได้ แต่ต้องทำกินบ่อย ๆ หรือกินเรื่อย ๆและใจเย็น ๆ จะสังเกตเห็นว่าสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสีย จะค่อยๆดีขึ้นและหายไปค่ะ
ฤดูกาลผลผลผลิต : มีมากในเดือนมกราคม มีนาคม ส่วนเดือนอื่นๆ มีขายในปริมาณน้อยงลง

 

Beta vulgaris co9mmonly known as beet or beetroot or table beet. Beetroot can be peeled, steamed, boiled, and then eaten warm with butter as a delicacy; cooked, pickled, and then eaten cold as a condiment; or peeled, shredded raw, and then eaten as a salad. Beetroot juice is a popular health food.

Beetroot contain significant amounts of vitamin C, whilst the leaves are an excellent source of vitamin A. It’s also high in …

Folate that can protect you against high blood pressure (Research published in the American Heart Association journal Hypertension on the 4th February 2008), Alzheimer’s and dementia. It is also crucial to the development of baby’s spinal cord during the first three months of pregnancy, therefore recommended to women who are pregnant or planning to become pregnant.  

Betaine supplements, that prevent to the development of heart disease, stroke, peripheral vascular disease. 

Soluble fibre, which can help reduce blood cholesterol

Betanins, a substance are used industrially as red food conlourants – e.g. to improve the colour of tomato pasted, sauces, jams and ice cream.


Beetroot

 

บีท หรือ บีทรูท พืชกินรากเป็นพืชชนิดเดียวกับหัวผักกาดที่อยู่ใต้ดิน ลักษณะกลมป้อม เปลือกสีออกดำเนื้อสีแดงเลือดหมู หรือม่วงแดง เมื่อปอกเปลือกแล้วสีจะติดมือ กำลังเป็นที่นิยมเอาไปทำน้ำเพื่อสุขภาพ โดยผสมกับน้ำผลไม้ต่าง ๆ เพราะตัวบีทรูทเองสีสวย ล่อตาล่อใจไม่น้อย แต่รสชาติไม่เท่าไร่ นอกจากเอาไปทำน้ำเพื่อสุขภาพต่าง ๆ แล้ว ใช้ทานในสลัด ในจานสเต็ก ดอง ชุปแป้งทอด หรือใช้สีแดงของบีทรูทแทนสีผสมอาหาร  (ใบบีทรูทก็ทานได้ เลือกเฉพาะใบอ่อน ทานสด ๆ เป็นผักสลัด อร่อยและมีวิตามินเอสูง บีทรูทถือว่าเป็นผักที่มีประโยชน์มาก อาทิ มีโฟเลทสูง ช่วยป้องกันความดันโลหิตสูง (มีงานวิจัยกันเป็นเรื่องเป็นราวโดยให้ดื่มน้ำบีทรูทแล้วช่วยลดความดันโลหิต) และโฟเลทยังจำเป็นต่อพัฒนาของไขสันหลังของทารกในครรภ์ช่วง 3 เดือนแรก นอกจากนี้ยังมี Betaine ที่มีผลช่วยลด และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ มีสารอาหารหลายชนิด ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โปแตสเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินเอ และวิตามินบีรวม คนนิยมนำบีทรูทมา อาหารค่ะ
          สารสีแดงในหัวบีทรูท คือ เบทานิน (betanin) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็งได้ น้ำบีทรูทจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะรักษามะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้เลือดลมดี บำรุงเลือด บำรุงไต ถุงน้ำดี ล้างพิษ และช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดีขึ้น และยังมีการวิจัยพบว่า บีทรูทนำไปใช้เป็นโภชนาบำบัดซึ่งช่วยในการรักษาผู้ที่เป็นสิวชนิดมีหนอง หรือสิวอักเสบ น้ำเหลืองเสียได้ดีอีกด้วย โดยมีวิธี ทำแบบง่าย ๆ คือ เอาหัวสดของบีทรูท จำนวน 1 หัว ต้มกับน้ำพอประมาณจนเดือด โดยไม่ต้องเติมอะไรลงไปเลยค่ะ ดื่มขณะอุ่นๆ หรือจะรับประทานเนื้อด้วยก็ได้ จะช่วยบำบัดอาการสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสียได้ แต่ต้องทำกินบ่อย ๆ หรือกินเรื่อย ๆและใจเย็น ๆ จะสังเกตเห็นว่าสิวอักเสบหรือน้ำเหลืองเสีย จะค่อยๆดีขึ้นและหายไปค่ะ
ฤดูกาลผลผลผลิต : มีมากในเดือนมกราคม มีนาคม ส่วนเดือนอื่นๆ มีขายในปริมาณน้อยงลง

 

Beta vulgaris co9mmonly known as beet or beetroot or table beet. Beetroot can be peeled, steamed, boiled, and then eaten warm with butter as a delicacy; cooked, pickled, and then eaten cold as a condiment; or peeled, shredded raw, and then eaten as a salad. Beetroot juice is a popular health food.

Beetroot contain significant amounts of vitamin C, whilst the leaves are an excellent source of vitamin A. It’s also high in …

Folate that can protect you against high blood pressure (Research published in the American Heart Association journal Hypertension on the 4th February 2008), Alzheimer’s and dementia. It is also crucial to the development of baby’s spinal cord during the first three months of pregnancy, therefore recommended to women who are pregnant or planning to become pregnant.  

Betaine supplements, that prevent to the development of heart disease, stroke, peripheral vascular disease. 

Soluble fibre, which can help reduce blood cholesterol

Betanins, a substance are used industrially as red food conlourants – e.g. to improve the colour of tomato pasted, sauces, jams and ice cream.


Prune

 

Prune ลูกพรุน

เมื่อเอ่ยถึงลูกพรุนเชื่อเหลือเกินว่าใครหลายๆคนคงทำหน้างง นึกไม่ออกว่าเจ้าลูกพรุนนนี้มีหน้าตาและรสชาติอย่างไร และที่สำคัญมันมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนกับชีวิตคนเมืองอย่างเรา แต่สำหรับคนที่รู้จักถึงขั้นสนิทสนมกับลูกพรุนแล้ว รับรองว่าต้องยกให้เป็นที่หนึ่งในใจตลอดกาลเลยทีเดียว เอาล่ะค่ะเกริ่นเข้าข้างมาซะยาว เรามาทำความรู้จักกับลูกพรุนกันเลยดีกว่า

ลูกพรุนหรือลูกพลัมเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้จักและนิยมนำมารับประทานกันเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ ลักษณะที่นำมารับประทานมีทั้งรับประทานเป็นผลสด นำมาตากแห้ง ทำเป็นน้ำลูกพรุน และนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร ในปัจจุบันประเทศทางแถบเอเชียให้ความสนใจลูกพรุนมากขึ้น เนื่องจากคุณค่าทางอาหารและประโยชน์ที่ได้รับจากการรับประทานลูกพรุน และผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มาจากลูกพรุน

แล้วอะไรอยู่ในลูกพรุนบ้าง ในลูกพรุนจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เหล็ก(Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าผู้หญิงเรานั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไปเท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆที่ขาดไม่ได้ ใครอยากมีเลือดฝาดอย่ามองข้ามลูกพรุน

วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม

แคลเซียม(Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ

วิตามิน C(Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant)เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายเมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามินcมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidantในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

และที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้คือ ลูกพรุนนั้นอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตปัจจุบันที่ฝากไว้กับอาหารถุง ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นกากใยเลย ลูกพรุนเป็นคำตอบที่ไม่น่ามองข้าม

  ทีนี้อาจมีคำถามตามมาว่า แล้วจะไปหาลูกพรุนทานได้จากที่ไหนดี ไม่ยากเลยค่ะ เพราะในปัจจุบันได้มีการนำลูกพรุนมาแปรรูปให้รับประทานกันได้ง่ายขึ้นเท่าที่เห็นวางขายมีทั้งแบบอบแห้ง แบบผสมในนมเปรี้ยว แบบเชื่อม แบบสกัดเข้มข้น แบบเป็นน้ำผลไม้ หรือจะเป็นส่วนผสมในขนมต่างๆ เช่น เค้กลูกพรุน คุกกี้ลูกพรุน เห็นไหมค่ะว่าหาทานง่ายแค่ไหน

  ชื่อของลูกพรุนอาจจะดูไม่ค่อยแจ่ม แต่เรื่องประโยชน์แล้วขอบอกว่าทั้งแจ่ม แจ๋ว และเจ๋งจริง

ถ้าอยากได้สารอาหาร ลูกพรุนจัดให้ !! ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและสังกะสี 

    กากใยของลูกพรุนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ สาวๆ ที่กำลังรีดไขมันเตรียมเฮได้เลย

    ท้องผูกๆ จะเลิกผูกเสียทีถ้าคุณหมั่นกินลูกพรุนเป็นประจำ เพราะเจ้าผลไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว และอุจจาระที่ออกมาดูโลกก็จะนิ่ม หมดห่วงเรื่องริดสีดวงทวารได้เลย

    ลูกพรุนมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนที่ไม่น้อยหน้าใคร อยากผิวสวยหน้าใสห่างไกลมะเร็ง ลูกพรุนนี่ล่ะคำตอบ

  น้ำตาลของลูกพรุนยังเป็นน้ำตาลชนิดฟรุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้เป็นเบาหวาน แต่ให้พลังงานได้ทันทีที่กิน

    แคลเซียมในผลไม้ชนิดนี้จะทำให้คุณเป็นสาวกระดูกเหล็ก ฟันแข็งแรง หัวใจแกร่ง ประสาททำงานเป็นปกติ จะคิดอะไรก็คล่องปรี๊ดๆ 

    วิตามิน B2 ที่ชื่อโรโนฟลาตินในลูกพรุน ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดีต่อผม ผิว เล็บ และการมองเห็น

    วิตามินอี ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ยืดอายุของเม็ดเลือดแดง แถมยังบำรุงผิว บำรุงสายตา ใครทำอะไรกันในที่มืดๆ ไม่มีทางรอดพ้นสายตาแน่ๆ

    ลูกพรุนเป็นผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูงเกินหน้าเกินตาผลไม้อื่น คนที่ขาดธาตุเหล็กแต่ไม่ชอบดื่มนม จะหันมากินลูกพรุนแทนก็เป็นไอเดียที่ไม่เลว

 


Prune

 

Prune ลูกพรุน

เมื่อเอ่ยถึงลูกพรุนเชื่อเหลือเกินว่าใครหลายๆคนคงทำหน้างง นึกไม่ออกว่าเจ้าลูกพรุนนนี้มีหน้าตาและรสชาติอย่างไร และที่สำคัญมันมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนกับชีวิตคนเมืองอย่างเรา แต่สำหรับคนที่รู้จักถึงขั้นสนิทสนมกับลูกพรุนแล้ว รับรองว่าต้องยกให้เป็นที่หนึ่งในใจตลอดกาลเลยทีเดียว เอาล่ะค่ะเกริ่นเข้าข้างมาซะยาว เรามาทำความรู้จักกับลูกพรุนกันเลยดีกว่า

ลูกพรุนหรือลูกพลัมเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้จักและนิยมนำมารับประทานกันเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือ ลักษณะที่นำมารับประทานมีทั้งรับประทานเป็นผลสด นำมาตากแห้ง ทำเป็นน้ำลูกพรุน และนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร ในปัจจุบันประเทศทางแถบเอเชียให้ความสนใจลูกพรุนมากขึ้น เนื่องจากคุณค่าทางอาหารและประโยชน์ที่ได้รับจากการรับประทานลูกพรุน และผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มาจากลูกพรุน

แล้วอะไรอยู่ในลูกพรุนบ้าง ในลูกพรุนจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เหล็ก(Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าผู้หญิงเรานั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไปเท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆที่ขาดไม่ได้ ใครอยากมีเลือดฝาดอย่ามองข้ามลูกพรุน

วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม

แคลเซียม(Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ

วิตามิน C(Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant)เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายเมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามินcมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidantในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

และที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้คือ ลูกพรุนนั้นอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตปัจจุบันที่ฝากไว้กับอาหารถุง ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นกากใยเลย ลูกพรุนเป็นคำตอบที่ไม่น่ามองข้าม

  ทีนี้อาจมีคำถามตามมาว่า แล้วจะไปหาลูกพรุนทานได้จากที่ไหนดี ไม่ยากเลยค่ะ เพราะในปัจจุบันได้มีการนำลูกพรุนมาแปรรูปให้รับประทานกันได้ง่ายขึ้นเท่าที่เห็นวางขายมีทั้งแบบอบแห้ง แบบผสมในนมเปรี้ยว แบบเชื่อม แบบสกัดเข้มข้น แบบเป็นน้ำผลไม้ หรือจะเป็นส่วนผสมในขนมต่างๆ เช่น เค้กลูกพรุน คุกกี้ลูกพรุน เห็นไหมค่ะว่าหาทานง่ายแค่ไหน

  ชื่อของลูกพรุนอาจจะดูไม่ค่อยแจ่ม แต่เรื่องประโยชน์แล้วขอบอกว่าทั้งแจ่ม แจ๋ว และเจ๋งจริง

ถ้าอยากได้สารอาหาร ลูกพรุนจัดให้ !! ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและสังกะสี 

    กากใยของลูกพรุนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ สาวๆ ที่กำลังรีดไขมันเตรียมเฮได้เลย

    ท้องผูกๆ จะเลิกผูกเสียทีถ้าคุณหมั่นกินลูกพรุนเป็นประจำ เพราะเจ้าผลไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว และอุจจาระที่ออกมาดูโลกก็จะนิ่ม หมดห่วงเรื่องริดสีดวงทวารได้เลย

    ลูกพรุนมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนที่ไม่น้อยหน้าใคร อยากผิวสวยหน้าใสห่างไกลมะเร็ง ลูกพรุนนี่ล่ะคำตอบ

  น้ำตาลของลูกพรุนยังเป็นน้ำตาลชนิดฟรุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้เป็นเบาหวาน แต่ให้พลังงานได้ทันทีที่กิน

    แคลเซียมในผลไม้ชนิดนี้จะทำให้คุณเป็นสาวกระดูกเหล็ก ฟันแข็งแรง หัวใจแกร่ง ประสาททำงานเป็นปกติ จะคิดอะไรก็คล่องปรี๊ดๆ 

    วิตามิน B2 ที่ชื่อโรโนฟลาตินในลูกพรุน ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ดีต่อผม ผิว เล็บ และการมองเห็น

    วิตามินอี ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ยืดอายุของเม็ดเลือดแดง แถมยังบำรุงผิว บำรุงสายตา ใครทำอะไรกันในที่มืดๆ ไม่มีทางรอดพ้นสายตาแน่ๆ

    ลูกพรุนเป็นผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูงเกินหน้าเกินตาผลไม้อื่น คนที่ขาดธาตุเหล็กแต่ไม่ชอบดื่มนม จะหันมากินลูกพรุนแทนก็เป็นไอเดียที่ไม่เลว

 


date

 

 

Date อินทผาลัม

อินทผาลัม ชื่อสามัญ Dates ชื่อวิทยาศาสตร์ Phoenix dactylifera, L. เป็นไม้ผลที่เจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งแบบทะเลทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณประเทศแถบตะวันออกกลาง ผลมีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ออกเป็นช่อรสหวานฉ่ำ ทานได้ทั้งผลดิบและสุก เมื่อสุกแล้วเอาไปตากแห้งสามารถเก็บไว้เป็นเวลาหลายปี มีรสชาติหวานจัด จนมีคนเข้าใจผิดคิดว่าถูกเชื่อมด้วยน้ำตาล

สำหรับประโยชน์ของอินทผลัม
มีอยู่ 2 ด้านคือ ด้านคุณค่าทางโภชนาการ เพราะอินทผลัมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมาก เช่น ซัลเฟอร์ เหล็ก โพแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แมงกานีส และน้ำมันโวลาไดท์ เป็นต้น มีเส้นใยมาก ช่วยลดอาการท้องผูกและทำให้ย่อยง่าย รวมทั้งให้พลังงานสูง ทำให้ร่างกายที่อ่อนเพลียกลับมีกำลังวังชาเท่าเดิม นอกจากนี้ยังสามารถบำรุงกล้ามเนื้อมดลูกและสร้างน้ำนมแม่ด้วย อีกด้านหนึ่งคือด้านการรักษาโรค อินทผลัมช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา ลดความหิว แก้กระหาย แก้โรควิงเวียนศีรษะ ช่วยลดเสมหะ ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังฆ่าเชื้อโรค พยาธิและสารพิษที่ตกอยู่ในลำไส้และระบบทางเดินอาหารเพราะอินทผลัมมีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอันเป็นสารก่อมะเร็งในช่องท้องได้

จากรายงานการวิจัยของ King Saud University ซาอุดิอาระเบีย ตีพิมพ์ใน Journal of Ethnopharmacology ปี 2005 ทำการทดลองโดยให้สารสกัดจากอินทผาลัมและเมล็ดให้กับหนูRat ในขนาด 4 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวหนู 1 กิโลกรัม ต่อเนื่องกันนาน 14 วัน โดยใช้ Ethanol เหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนู เปรียบเทียบกับยา Lansoprazole ขนาด 30 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม พบว่า สารสกัดจากน้ำและEthanol ที่ได้จากผลอินทผาลัมและเมล็ดนั้น ทำให้ความรุนแรงของแผลในกระเพาะอาหารลดลงและยังช่วยบรรเทาการหลั่งฮิสตามีน และ gastrin จากการเหนี่ยวนำด้วย Ethanol และยังลดระดับมิวซิน (mucin) ในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย จากการทดลองครั้งนี้ทำให้สันนิษฐานได้ว่าความสามารถป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหารของสารสกัดจากอินทผาลัม อาจเกิดจากหลายๆปัจจัย รวมทั้งอาจเกิดจากฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)  กล่าวว่า

ผู้ใดที่รับประทานอินทผาลัมที่มาจากอัจวะฮฺ 7 เม็ดในตอนเช้าแล้ว ในวันนั้น
          พิษร้ายหรือเวทมนตร์จะไม่ทำอะไรเขาเลยตลอดวัน    

 


Raw chocolate

Raw food อาหารอินทรีย์

     เป็นอาหารที่ได้จากการปรุง ผัก ผลไม้สด รวมถึง ถั่วและธัญพืช โดยไม่ผ่านการปรุงแต่ง ไม่มีแป้งและน้ำตาล ไม่ใช้ความร้อนเกิน 42 องศาเซลเซียส เพื่อคงคุณค่าของสารอาหารไว้

Raw food จึงเป็นอาหารทางเลือกสำหรับผู้ที่รักสุขภาพแบบง่ายๆ เมื่อฟังดูอาจจะไม่น่าเชื่อว่าจะง่ายจริงๆเหรอเพราะเป็นเพราะเราอาจจะไม่คุ้นเคย และคิดว่าไม่ง่ายซึ่งจริงๆแล้วไม่ยากเหมือนที่คิด แน่นอนมีคนที่สามารถยืนยันได้ว่า Raw food ไม่ยากเหมือนที่คุณคิด วันนี้ คุณ ปิยะฉัตร ได้มาเรียนทำ Raw chocolate truffle

piyachat.jpg             piyachat1.jpg

Recipe for chocolate truffle & Brownie:

date.JPG almond with skin.JPG pistachio (2).jpg

Date อินทผาลัมสับ 350 กรัม Almond ถั่วอัลมอนด์บด250กรัม Pistachio สับไว้คลุกทรัฟเฟิล

cocoa.jpg  waltnut.jpg  vanila.jpg 11.jpg

Cocoa ผงโกโก้ 75 กรัม Walnut สับหยาบ62 กรัม วานิลลานิดหน่อยและใช้สาลีขูดเอาแต่เนื้อ 250กรัมรวมทุกอย่างและนวดให้เข้ากัน ปั้นเป็นลูกกลมๆนำมาคลุกกับผงโกโก้ หรือถั่วพิตาชิโอที่สับละเอียด เมื่อผลงานที่ออกมา ไม่น่าเชื่อเลยทีเดียวว่าเป็นครั้งแรกที่ทำขนม ต้องขอชมว่าทำออกมาไม่แพ้มืออาชีพเลยนะค่ะ